Table of Contents

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดนตรีสากลมีอะไรบ้าง

ดนตรีสากลมีอะไรบ้าง ดนตรีก่อเกิดเพราะการได้ยินเสียงจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวของมนุษย์ มีการรับรู้ เลียนแบบ ศึกษาจังหวะ ระดับเสียง ความดัง-เบา ความกลมกลืนและแตกต่างของเสียงแต่ละประเภท จากใกล้ตัวที่สุดคือชีพจรการเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหวร่างกาย ไปถึงเสียงจากธรรมชาติและสัตว์นานา ดนตรีสากลหรือดนตรีตะวันตกมีพื้นฐานจากความมุ่งหวังไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า จากหลักปรัชญากรีกโบราณในราวช่วงปี 800 ก่อนคริสตกาล

Read More »

ดนตรีสากล มีกี่ประเภท

ดนตรีสากล มีกี่ประเภท การเดินทางท่องโลกเพื่อพบกับ ประเภทเครื่องดนตรีสากล คือการได้สัมผัสวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทุกๆ พื้นที่มีเครื่องดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์และตัวแทนของวัฒนธรรมท้องถิ่น การส่อเสียงดนตรีไปสู่โลก กลายเป็นการส่งต่อความสดใส ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตผ่านท้องถิ่นที่ลงตัว เครื่องดนตรีเป่าเช่น ซักซอฟวน ทรัมเป็ต และฟลูต

Read More »

เครื่องสาย ดนตรีสากล

เครื่องสาย ดนตรีสากล เครื่องสาย (อังกฤษ: string instrument) เป็นการจัดประเภทของเครื่องดนตรีสากล โดยเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องสายนี้ หมายถึง เครื่องดนตรีที่ทำให้เกิดเสียงโดยการสั่นสะเทือนของสายลวด เชือก เอ็น หรือไนลอน และมีตัวกำธรเสียง ทำหน้าที่ขยายเสียงให้ดังมากขึ้น

Read More »

เครื่องสาย ดนตรีสากล

เครื่องสาย ดนตรีสากล เครื่องสาย (อังกฤษ: string instrument) เป็นการจัดประเภทของเครื่องดนตรีสากล โดยเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องสายนี้ หมายถึง เครื่องดนตรีที่ทำให้เกิดเสียงโดยการสั่นสะเทือนของสายลวด เชือก เอ็น หรือไนลอน และมีตัวกำธรเสียง ทำหน้าที่ขยายเสียงให้ดังมากขึ้น คุณภาพของเสียงขึ้นอยู่กับรูปร่าง และวัตถุที่ใช้ทำ การสั่นสะเทือนของสายอาจทำได้โดยการสี หรือดีดโดยอาจกระทำโดยตรง หรือเพิ่มกลไกให้ยุ่งยากขึ้น เครื่องสายที่พบเห็นในปัจจุบัน นิยมใช้วิธีทำให้เกิดเสียงได้ 2 วิธี คือ วิธีสี และวิธีดีด เครื่องสายประเภทใช้คันสี เครื่องดนตรีกลุ่มนี้ได้แก่

  1. ไวโอลิน (อังกฤษ: Violin) เครื่องดนตรีที่ใช้เล่นท่วงทำนอง ประกอบด้วยสาย 4 สาย แต่ละสายเทียบเสียงห่างกันคู่ 5 เพอร์เฟค คือ เสียง G-D-A-E
  2. วิโอลา (อังกฤษ: Viola) มีรูปร่างเหมือนไวโอลินทุกประการ แต่มีขนาดใหญ่กว่าไวโอลิน ตั้งเสียงต่ำกว่าไวโอลินลงไปอีกคู่ 5 เพอร์เฟค คือ C-G-D-A มีเสียงทุ้มและนุ่มนวลกว่าไวโอลิน
  3. เชลโล (อังกฤษ: Cello) มีรูปร่างเหมือนไวโอลินและวิโอลา แต่มีขนาดโตกว่ามาก ขณะเล่นต้องนั่งเก้าอี้ เอาเครื่องไว้ระหว่างขาทั้งสองข้าง เสียงต่ำกว่าวิโอลา 1 ช่วงคู่ 8 คือ C-G-D-A เสียงของเชลโลนุ่มนวล แสดงอารมณ์เศร้าสร้อย
  4. ดับเบิลเบส (อังกฤษ: Double Bass) เป็นเครื่องที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตระกูลไวโอลิน ผู้บรรเลงต้องยืนเล่น เสียงของดับเบิลเบส ต่ำสุดแสดงถึงความมีอำนาจ ความกลัว ความลึกลับ สายทั้งสี่ตั้งเสียงห่างกันเป็นคู่ 4 เพอร์เฟค คือ E-A-D-G

เครื่องสาย ดนตรีสากล เครื่องสายประเภทเครื่องดีด (อังกฤษ: Plucked String) เครื่องดนตรีกลุ่มนี้ได้แก่

  1. เครื่องสาย ดนตรีสากล ฮาร์ป (อังกฤษ: Harp) เป็นพิณโบราณขนาดใหญ่ มีประวัติเก่าแก่มาก มีสายขึงอยู่ทั้งหมด 47 สาย ช่วงเสียงกว้าง 6 Octaves ใช้บรรเลงในวงดนตรีประเภทออร์เคสตรา
  2. กีตาร์ (อังกฤษ: Guitar) กีตาร์ประกอบด้วยสาย 6 สาย โดยตั้งระดับเสียงต่ำไปหาสูง ในแต่ละสายดังนี้ E, A, D, G, B ,E
  3. ลูท (อังกฤษ: Lute) เป็นพิณชนิดหนึ่งที่เป็นต้นกำเนิดของเครื่องสายประเภทดีด มีรูปทรงเหมือนผลส้มผ่าซีก มีสะพานวางนิ้วที่มีช่องปรากฏอยู่ เช่นเดียวกับกีตาร์ แบนโจ แมนโดลิน ฯลฯ ชาวอาหรับโบราณนิยมกันมากแต่ปัจจุบันนี้ไม่ได้รับความนิยม
  4. แมนโดลิน (อังกฤษ: Mandolin) เป็นเครื่องดนตรีตระกูลลูท มีสาย 4 คู่ (8 สาย) หรือ 6 คู่ (12 สาย) ตั้งเสียงเท่ากันเป็นคู่ มีลูกบิดคล้ายกีตาร์ใช้ในการตั้งเสียง และมีนม (Feat) รองรับสาย เวลาเล่นจะใช้นิ้วมือซ้ายจับตัวแมนโดลินและใช้มือขวาดีด ลักษณะการดีดคล้ายการดีดกีตาร์โดยใช้ปิ๊ค (Pick) เสียงที่เกิดจากแมนโดลินมีความไพเราะเป็นเสียงที่มีคุณภาพ เร้าอารมณ์ได้ดีโดยเฉพาะอารมณ์
    โศกเศร้าเกี่ยวกับความรัก แมนโดลินมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอิตาลี เป็นเครื่องดนตรีที่ชาวอิตาเลียนนิยมกันแพร่หลาย
  5. แบนโจ (อังกฤษ: Banjo) เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลลูท จุดเริ่มต้นที่มีผู้นำมาเล่นอยู่ในแถบแอฟริกาตะวันตก (Western Africa) เป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านของคนผิวดำ ต่อมาจึงเป็นที่แพร่หลายในหมู่อเมริกันผิวดำ วิธีการเล่นคล้ายกับกีตาร์

เครื่องสายที่ทำให้เกิดเสียงด้วยวิธีการดีด

กีต้าร์

ประวัติความเป็นมาของกีต้าร์ กีต้าร์มีที่มาอย่างไร

กีต้าร์เรียกได้ว่าเป็นเครื่องดนตรียอดฮิตในบรรดาเครื่องสาย มักเล่นด้วยนิ้วมือซ้าย ดีดหรือเกาด้วยนิ้วมือขวา หรืออาจจะใช้ปิ๊กสำหรับช่วยดีดกีต้าร์ก็ได้ ตามปกติแล้วเครื่องดนตรีตัวนี้จะมี 6 สาย ตั้งระดับเสียงต่ำไปหาเสียงสูง (E,A,D,G,B,E) แต่บางครั้งเราก็จะเห็นแบบ 4, 7, 8, 10, 12 สายได้ด้วยเช่นกัน

กีต้าร์มาจากภาษาสเปนคำว่า guitarra ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษากรีกคำว่า kithara อีกต่อหนึ่ง ว่ากันว่าเครื่องดนตรีที่มีหน้าตาคล้ายกีต้าร์เป็นที่นิยมมามากกว่า 5,000 ปีแล้ว โดยเริ่มนิยมจากแถบเอเชียกลางก่อน แต่มีหลักฐานว่าเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายคลึงกีต้าร์ที่เก่าแก่ที่สุดนั้นอยู่ในช่วง 3,300 ปีบนหินสลักของกวีโบราณแห่งอาณาจักรฮิตไทต์ พวกเขาเรียกเครื่องดนตรีประเภทนี้กันว่า ซิตาร่า (chitara)

ค.ศ. 40 ตัวเครื่องซิตาร่าถูกนำเข้าไปที่อาณาจักรฮิสปาเนีย (สเปนโบราณ) จนแพร่หลาย จากนั้นเปลี่ยนแปลงรูปแบบจนกลายเป็นเครื่องดนตรีที่มี 4 สายเรียกกันว่า อูด (oud) โดยชาวมัวร์ที่เข้ามาครอบครองคาบสมุทรไอบีเรียเป็นคนนำเข้ามาในช่วงศตวรรษที่ 8 ส่วนในยุโรปนั้นมีเครื่องดนตรี 6 สายที่เรียกว่า ลุต (lute) ของชาวสแกนดิเนเวีย และได้รับความนิยมในกลุ่มชาวไวกิงสมัย ค.ศ. 800 กว่าจะมาเป็นกีต้าร์อย่างที่ใช้ในปัจจุบันนั้นก็มีเครื่องสายที่คล้าย ๆกันเกิดขึ้นหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกีต้าร์รามอริสกาที่มี 4 สาย กีต้าร์ราลาตินา หรือบิอูเอลา เป็นต้น เครื่องสายชิ้นแรกที่มีหน้าตาเหมือนกีต้าร์ในยุคปัจจุบันจริง ๆ เกิดขึ้นในยุคเรเนสซองส์หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ซึ่งมีทั้งแบบ 4 สายและแบบ 5 สาย ส่วนกีต้าร์ 6 สายระบุว่ามีขึ้นใน ค.ศ. 1779 อันเป็นผลงานของ Gaetano Vinaccia

ประวัติความเป็นมากว่าจะมาเป็นกีต้าร์นั้นมีมายาวนานมากดังรายละเอียดเบื้องต้น และนอกจากนี้กีต้าร์ยังแบ่งออกมาได้อีกหลายประเภท ซึ่งทุกคนสามารถกดอ่าน ประเภทของกีต้าร์ เพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติมให้ทุกคนได้

กีต้าร์เบสหรือเบสไฟฟ้า

ประวัติความเป็นมาของกีต้าร์เบสหรือเบสไฟฟ้ามีที่มาอย่างไร

กีต้าร์เบส หรือเรียกสั้น ๆ ติดปากคนทั่วไปว่าเบส เป็นเครื่องสายที่ถือกำเนิดหลังเครื่องดนตรีอื่น ๆ อย่างกีต้าร์ กลอง หรือคีย์บอร์ดเสียอีก กีต้าร์เบสใช้โดยทั่วไปมี 4 สายและ 5 สาย ซึ่งอาจมีสายที่มากกว่านี้ได้อีกเนื่องจากนักดนตรีบางคนออกแบบเพื่อประยุกต์ใช้ในการเล่นที่เฉพาะตัว

Bassline เริ่มเป็นที่รู้จักกันในวงการดนตรีผ่านบทเพลงของ J.S. Bach ในยุคบาโรก ในวงออร์เคสตร้ากำหนดเสียงเบสขึ้นจากเครื่องดนตรีที่มีชื่อว่า upright bass หรือ bass viola ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีตระกูลเบสรุ่นแรกในโลก จนกระทั่งเพลงแจ๊สมีการพัฒนาและเกิดการวิวัฒนาการขึ้นเป็นจังหวะ swing ในปี 1935 การแต่งและการเรียบเรียงดนตรีจึงมีความซับซ้อนและยุ่งยากมากขึ้น ทำให้ brass bass เล่นจังหวะนี้ไม่ได้ Acoustic upright bass จึงเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่ขึ้นมาแทนที่ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของลำตัวที่ค่อนข้างใหญ่จนพกพายาก และน้ำเสียงที่ไม่สามารถดังได้มากพอสำหรับการใช้เล่นร่วมกับวงดนตรีประเภทใหญ่ ๆ ที่มีเครื่องดนตรีหลาย ๆ ชิ้น ทำให้เกิดปัญหาในหมู่คนเล่นเบสอยู่ช่วงหนึ่ง

หลังจากนั้นกีต้าร์เบสตัวแรกของโลกก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ประดิษฐ์โดย Clarence Leo Fender ในปี 1951 จากบริษัท Fender Musical Intrumental Company (บริษัทเดียวกับที่ผลิตกีต้าร์ Fender) เขาผลิตกีต้าร์เบสที่มีชื่อรุ่นว่า Precision bass โดยประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาของเบสรุ่นเก่าอย่าง Acoustic upright bass ที่มีปัญหาในเรื่องเสียงและขนาดที่ใหญ่เกินไป เขาตั้งชื่อรุ่นว่า Precision bass โดยมีจุดมุ่งหมายว่าเป็นเบสที่มีความกระชับ มีการใช้เฟรทติดลงบน Fingerboard และยังแก้ไขในเรื่องของเสียงเบสให้ดีขึ้นด้วย

วงของ Vibist Lionel Hampton เป็นรุ่นแรกที่นำ P-Bass ไปใช้ในการแสดง และเบสไฟฟ้าตัวนี้มีเสียงที่ออกมาได้อย่างน่าทึ่งมาก ๆ จากคำวิจารณ์ของ Leonard Feather ซึ่งได้เขียนในนิตยสาร Down Beat เมื่อ 30 กรกฎาคม 1952 นอกจากนี้นักดนตรี Blues ก็นำเบสไฟฟ้ารุ่นนี้ไปใช้ในบทเพลงเช่นเดียวกัน โดยในปี 1958 Dave Myers ได้นำ Precision Bass ไปใช้ในการบันทึกเสียงเบสที่สร้างความสำเร็จให้แก่นักดนตรี Blues ในสมัยนั้นอย่างมาก

เบสไฟฟ้ามีลักษณะคล้ายกีต้าร์ไฟฟ้าแต่มีขนาดใหญ่กว่า โครงสร้างของคอใหญ่และยาวกว่า และยังมีย่านความถี่เสียงที่ต่ำกว่าอีกด้วย หน้าที่หลัก ๆ ของเบสไฟฟ้าคือการคุมจังหวะตาม rhythm, line, pattern และ groove ของดนตรี ในขณะเดียวกันก็สามารถขยายระดับความสามารถในการเล่นให้สูงขึ้นตามแนวเพลงและการประยุกต์ใช้ต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีเบสที่เรียกว่าเบสโปร่งที่มีลักษณะลำตัวแบบกีต้าร์โปร่งเลย เวลาเล่นไม่ต้องใช้ไฟฟ้าทำให้สะดวกในการเคลื่อนย้ายและพกพา นิยมใช้เล่นในดนตรีโฟล์ก

แมนโดลิน

ประวัติความเป็นมาของแมนโดลิน

แมนโดลิน เครื่องสายชนิดนี้มีชื่อที่แปลกและอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูกันมากนัก มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี นิยมใช้แพร่หลายในช่วงปี ค.ศ. 1713 เครื่องดนตรีชนิดนี้พัฒนามาจากพิณในตระกูลของพิณยุโรป มีสาย 4 คู่ (8 สาย) หรือ 6 คู่ (12 สาย) ตั้งเสียงเท่ากันเป็นคู่ มีลูกบิดคล้ายกีต้าร์ใช้ในการตั้งเสียง และมีนมรองรับสาย เวลาเล่นใช้นิ้วมือซ้ายจับตัวแมนโดลินและใช้มือขวาในการดีด ลักษณะการดีดคล้ายการดีดกีต้าร์โดยจะใช้ปิ๊กช่วยดีดเสริมได้ด้วย ผู้เล่นต้องดีดขึ้นลงติดต่อกันอย่างเร็วเพื่อให้เกิดเสียงสั่นรัว ซึ่งเสียงที่เกิดจากแมนโดลินเป็นระดับเสียงสูง มีความไพเราะ เป็นเสียงที่มีคุณภาพ เร้าอารมณ์โดยเฉพาะอารมณ์โศกเศร้าเกี่ยวกับความรักได้เป็นอย่างดี

แบนโจ

ประวัติความเป็นมาของแบนโจ

แบนโจเป็นเครื่องสายตระกูลเดียวกับลูทโบราณ (ตระกูลเดียวกับพิณ) มีกล่องเสียงเหมือนกับหน้ากลอง ใช้หนังแท้หรือหนังเทียมขึงปิด คาดหรือวงรอบด้วยไม้หรือเหล็กเพื่อให้หนังตึง โดยปกติกล่องเสียงจะมีรูปร่างวงกลม มี 4, 5 หรือ 6 สาย จากประวัติแล้วแบนโจมีส่วนเกี่ยวข้องกับดนตรีพื้นเมืองแอฟริกัน-อเมริกันและวัฒนธรรมโฟล์กในชนบทของสังคมคนผิวขาว ก่อนที่จะเข้าสู่กระแสหลักจากพวกนักร้องยุคกลางในศตวรรษที่ 19 มักใช้เล่นในวงดนตรีแนวโฟล์ก ดนตรีโฟล์กไอริช และโดยเฉพาะเพลงคันทรี แม้ว่าแต่เดิมแบนโจจะถูกเล่นอย่างสะเปะสะปะ ขาดความชำนาญ หรือถูกดีดดึงด้วยนิ้วมือ แต่นักดนตรีภูเขาได้นำมันมาใช้ให้เกิดท่วงทำนองด้วยการเล่นที่เป็นทักษะพิเศษเฉพาะตัวด้วยหลังเล็บมือ ซึ่งเรียกวิธีการนี้ว่า claw–hammer style พวกเขาได้นำเอาทักษะนี้มาใช้เล่นเพลงเก่า ๆ ที่เคยเล่นด้วย fiddle หรือซอฝรั่งมากมายหลายเพลง

ฮาร์ป

ประวัติความเป็นมาของฮาร์ป

ฮาร์ปเป็นเครื่องสายที่ใครได้เห็นหรือได้ฟังก็จะรู้สึกตกอยู่ในภวังค์ราวกับมีมนตร์สะกด นับเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสน่ห์อย่างยิ่งเมื่อเทียบกับเครื่องดนตรีประเภทอื่น ๆ ให้ความรู้สึกราวกับว่าอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์และมีความเป็นชนชั้นสูง

เครื่องดนตรีเก่าแก่ชนิดนี้มีการกล่าวถึงตั้งแต่ราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นพิณโบราณขนาดใหญ่ที่มาจากประเทศอียิปต์ มีหลักฐานจากภาพฝาผนังใต้สุสานว่ามีรูปคนดีดพิณชนิดนี้ค่อนข้างเยอะมาก และสาเหตุที่ทำให้ตัวฮาร์ปมีความพิเศษมาก ๆ ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะความแตกต่างจากเครื่องสายประเภทอื่น ๆ การขึงของสายฮาร์ปจะไม่ผ่านกล่องเสียงเหมือนเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ เช่น กีต้าร์ ไวโอลิน หรือเปียโน โครงสำหรับขึงสายทั้ง 47 สายมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมโค้งงอเล็กน้อยเพื่อให้เกิดความสวยงาม

และฮาร์ปยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  1. ฮาร์ปขนาดใหญ่ที่มีคันเหยียบ (pedal harp) มี 47 สาย เรียกกันง่าย ๆ ว่าแกรนด์คอนเสิร์ตฮาร์ป มีขนาดลดหลั่นกันไป เช่น Semi grand และ salon วงดุริยางค์ซิมโฟนีที่มีมาตรฐานจะใช้ฮาร์ปขนาด Grand Concert 47 สายเท่านั้น
  2. ลีเวอร์ฮาร์ป (Lever Harp) เป็นฮาร์ปที่ใช้ไกเปลี่ยนเสียงมีขนาดต่าง ๆ กัน จะมี 36 สาย บางรุ่นอาจใช้บรรเลงเทียบเท่ากับฮาร์ปชนิดคันเหยียบ

เครื่องสายที่ทำให้เกิดเสียงด้วยวิธีการสี

ไวโอลิน

ประวัติความเป็นมาของไวโอลิน

ไวโอลินเป็นเครื่องสายที่เล่นด้วยวิธีการสีซึ่งได้รับความนิยมสูงกว่าชนิดอื่น ๆ เนื่องจากสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม มีเสียงแหลมสดใสและอ่อนหวานชวนให้เคลิบเคลิ้ม หากต้องการเล่นให้สนุกสนานคึกคักก็สามารถทำได้ หรือจะเล่นให้เศร้าสร้อยสะเทือนใจก็เล่นได้ ไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีที่สามารถเล่นพลิกแพลงด้วยทักษะต่างๆ ได้หลากหลายแบบขึ้นอยู่ความสามารถของผู้ใช้

จากหลักฐานต่าง ๆ ล้วนกล่าวว่าต้นกำเนิดของไวโอลินอยู่ที่ประเทศอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 16 ซึ่งผู้ผลิตน่าจะดัดแปลงมาจากเครื่องดนตรีในยุคกลาง แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าใครเป็นผู้ที่ประดิษฐ์ไวโอลินขึ้นเป็นคนแรก ส่วนใหญ่แล้วจะยกความดีให้กับ Andrea Amati แห่งเครโมนา (ราว ๆ ปี 1511-1577) ว่าเป็นช่างทำไวโอลินคนแรกที่โลกรู้จัก ไวโอลิน 2 คันที่เขาสร้างขึ้นในระหว่างปี 1542 และ 1546 มีสายเพียง 3 สาย ส่วนไวโอลิน 4 สายตัวแรกเพิ่งทำขึ้นในปี 1555 และเขายังได้ประดิษฐ์ผลงานที่น่าทึ่งชนิดนี้ให้กับพระเจ้าชาลส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศสเพื่อใช้เป็นเครื่องดนตรีบรรเลงประเภทใหม่ของวงออร์เคสตร้าประจำพระองค์อีกด้วย

การเล่นไวโอลินจะต้องวางบนไหล่ข้างซ้ายของผู้เล่นก่อน แล้วใช้คางหนีบไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ มือขวาของผู้เล่นใช้สีสายไวโอลินด้วยคันชัก โดยทั่วไปคันชักจะทำด้วยขนหางม้า ซึ่งตัวคันชักนี้เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ทำจากไม้ มีลักษณะคล้ายธนู ยาว 29 นิ้ว ตั้งสายให้ตึงและคลายให้หย่อนได้ สำหรับไวโอลินแบบมาตรฐานลำตัวจะมีความยาว 23.5 นิ้ว

นอกจากนี้ไวโอลินยังมีเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลของไวโอลินอีกด้วย ได้แก่ ไวโอลิน วิโอล่า เชลโล่ และดับเบิ้ลเบส

วิโอล่า

ประวัติความเป็นมาของวิโอล่า

วิโอล่าเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่มีลักษณะคล้าย ๆ กับไวโอลินแต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าและมีเสียงที่ต่ำกว่า นิยมเล่นในวงออร์เคสตร้าเหมือนกันกับไวโอลิน ว่ากันว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้ได้ปรากฎอยู่ในภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังที่วิหาร Saronno Cathedral ซึ่งเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1535 และต่อมาในศตวรรษที่ 16 วิโอล่าก็ได้พัฒนาตัวเองเป็นเครื่องดนตรีเสียง Alto หรือ Tenor ในตระกูลไวโอลิน

แต่เป็น เรื่องที่น่าเศร้าสำหรับนักเล่นวิโอล่าคือเสียงของเครื่องดนตรีชนิดนี้ไม่มีความสดใสเทียบเท่ากับไวโอลินได้เลย แม้แต่จะเทียบประโยชน์กับเชลโล่ที่เล่นทำนองเสียงเบสได้ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน จึงทำให้นักเล่นวิโอล่ามีจำนวนน้อยมาก แม้มีผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่นวิโอล่ามาก ๆ ก็ถูกมองว่าไม่มีทักษะเทียบเท่านักไวโอลิน ถึงขั้นเปรียบเทียบไว้ว่าเป็น “นักเป่าฮอร์นที่ไม่มีฟัน”

เชลโล่

ประวัติความเป็นมาของเชลโล่

เชลโล่มีชื่อเต็ม ๆ ว่าวิโอลอนเชลโล่ เป็นเครื่องสายที่ได้รับความนิยมพอ ๆ กับไวโอลิน เริ่มปรากฏขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในยุคบาโรก เนื่องจากเป็นเครื่องดนตรีในตระกูลไวโอลิน ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมาเชลโล่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดมาโดยตลอด แต่องค์ประกอบโดยทั่วไปแล้วแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย Antonio Stradivari เป็นช่างทำไวโอลินคนแรกที่กำหนดขนาดมาตรฐานของเชลโลสมัยใหม่ขึ้นในปี ค.ศ. 1707 เขาได้ปรับขนาดเชลโล่ให้สั้นลงเหลือเพียง 75 เซนติเมตร จาก 80 เซนติเมตร ซึ่งทำให้เล่นได้สะดวกขึ้นอย่างมาก

เชลโล่เป็นเครื่องดนตรี 4 สายที่มีความน่ารักคล้ายกับไวโอลิน แต่ให้เสียงที่ลึกและเต็มอิ่มกว่า ซึ่งมีวิธีการเล่นที่ต่างจากไวโอลินตรงที่ต้องหาที่นั่งให้มั่นคง กางเข่าให้กว้างพอประมาณเพื่อหาที่วางให้เชลโล่ และเอนให้เชลโล่พิงลำตัวของผู้เล่นโดยทำมุมให้คอของเชลโล่อยู่ทางซ้ายของศีรษะ เล่นด้วยการจับคอเชลโล่ด้วยมือซ้าย ส่วนนิ้วมือขวาถือคันชักไว้สำหรับสีให้เกิดท่วงทำนอง

ดับเบิ้ลเบส

ประวัติความเป็นมาของดับเบิ้ลเบส

ดับเบิ้ลเบสมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็นชื่อสตริงเบส คอนทราเบส หรือเบสวิโอล ในศตวรรษที่ 18 ดับเบิ้ลเบสมักจะถูกใช้ในฐานะเครื่องดนตรี 16 ช่วงเสียงในวงเครื่องลม แต่ในปัจจุบันดับเบิ้ลเบสได้รับการยอมรับในฐานะของวงออร์เคสตร้าเครื่องลมและวงดนตรีแจ๊ส ว่ากันว่าเป็นเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวที่มีความสัมพันธ์กับซอวิโอลอย่างแท้จริง โดยสืบทอดมาจาก Violone ซึ่งเป็นซอวิโอลขนาดใหญ่

นักดับเบิ้ลเบสแจ๊สในยุคแรกๆ เช่น John Lindsay และ Pop Foster (หรือในชื่อจริงคือ Murphy Foster) ทั้งคู่แสดงอยู่ในวงของ Louis Armstrong ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ส่วน Walter Page และ Charles Mingus คือนักดับเบิ้ลเบสที่โดดเด่นในทศวรรษที่ 1940 และนักดับเบิ้ลเบสรุ่นหลัง ๆ เช่น Ron Carter ประสบความสำเร็จในการใช้ Piccolo bass ขนาดเล็ก และยังได้เขียนตำราการเล่นดับเบิ้ลเบสในแบบแจ๊สขึ้นอีกด้วย Gary Karr นักดับเบิ้ลเบสชาวอเมริกันซึ่งเกิดในตระกูลนักดับเบิ้ลเบสประสบผลสำเร็จในการเชื่อมโลกดนตรีคลาสสิกและแจ๊สเข้าด้วยกัน ในฐานะนักดนตรีวงออร์เคสตร้าเขาปรากฏตัวร่วมกับวงดนตรีแชมเบอร์ระดับโลกหลายวง

เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายทั้งหมดที่ได้บอกเล่ามานี้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญ ๆ สำหรับนักดนตรีทั้งหลาย นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีประเภทอื่น ๆ ที่ควรค่าแก่การรู้จักอีกไม่น้อย ที่เราอยากจะบอกเล่าเรื่องรายความเป็นให้ทุกคนได้อ่าน เช่น เครื่องดนตรีประเภทตี เครื่องดนตีประเภทลิ่มนิ้ว เครื่องดนตรีประเภทเป่าทองเหลือง เครื่องดนตรีประเภทเป่าลมไม้ และเครื่องดนตรีประเภทอิเล็กทรอนิค เครื่องสาย ดนตรีสากล

บทความที่เกี่ยวข้อง